คลินิกเพื่อนช่วยเพื่อน กลยุทธ์กู้วิกฤตบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กเยาวชนในโรงเรียนนาผือโคกกอก ดึงเด็กกลับเข้าเรียน-พื้นที่เติมศักยภาพเด็กช่วยภาครัฐ
เขียนโดย เรื่อง : ทิพวรรณ สราญรมย์ / เรียบเรียง : ประภัสสุทธ| 02 Dec 2025| 79 views
วิกฤตการณ์แพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนไทยกำลังเข้าสู่ระดับที่น่าตกใจ เมื่อข้อมูลจากเครือข่ายภาคประชาสังคมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า เด็กอายุเพียง 10 ขวบ หรือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้เริ่มใช้บุหรี่ไฟฟ้าแล้ว โดยมีปัจจัยเร่งจากผลิตภัณฑ์ที่ถูกออกแบบคล้ายของเล่น (Toy Pod) และการใช้สารเสพติดชนิดอื่นร่วมด้วย
แอดมินไทอีสาน ได้พูดคุยกับคุณทิพย์ นางสาวทิพวรรณ สราญรมย์ กลุ่มเยาวชนโคกกอกก้าวไกลร่วมใจพัฒนา หรือ Go Forward Unite Develop (GFUD) ซึ่งทำงานอย่างใกล้ชิดกับเยาวชนใน 4 จังหวัดนำร่อง ภายใต้เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย.) ได้แก่ อำนาจเจริญ สกลนคร สุรินทร์ และเลย เพื่อติดตามสถานการณ์ และกระบวนการทำงานที่พยายามจะสร้าง "ภูมิคุ้มกัน" บุหรี่ไฟฟ้าให้กับเด็กๆ
บุหรี่ไฟฟ้า จุดเริ่มต้นที่ ป.4
คุณทิพย์ ซึ่งเคยทำงานด้านประเด็นเด็กในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญมาก่อน ยืนยันว่าปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบันคือความท้าทายก้อนโตที่จะต้องแก้ไขให้ได้ เพราะกลุ่มเป้าหมายหลักคือเด็กและเยาวชนในชุมชน แม้การสูบบุหรี่ไฟฟ้ายังผิดกฎหมายอยู่ แต่ก็มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้น่ารัก ดึงดูดกลุ่มเยาวชน และเข้าถึงได้ง่าย
“เพราะแม้แต่ในเอกสารข้อมูลจากสำนักป้องกันและควบคุมโรค (สคร.) ก็บอกว่าปัญหาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเป็นปัญหาใหญ่ และกลุ่มที่พบว่ามีการใช้ก็คือกลุ่มเยาวชน รวมถึงตัวผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมา ก็คือเห็นเลยว่ามุ่งไปที่กลุ่มไหน ไม่ว่าจะเป็นทอยพอด ที่เป็นแบบตัวตุ๊กตา อย่างงี้ค่ะ” คุณทิพกล่าว
และจากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลกับกลุ่มเยาวชน แบบโฟกัสกรุ๊ป อายุตั้งแต่ 10-15 ปี ในโรงเรียนนำร่อง จังหวัดอำนาจเจริญ ทีมงานพบข้อมูลที่น่าตกใจว่า การใช้บุหรี่ไฟฟ้าเริ่มต้นในกลุ่มเด็กที่อายุน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
" เราเจอว่า มีน้อง ๆ เยาวชน เป็นตัวเด็กเลย ที่เริ่มใช้ ก็มีตั้งแต่ อายุ 10 ขวบ ก็คือ ป.4 ค่ะ ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า "
การแพร่กระจายของการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่มีปัจจัยที่มาพร้อมกับพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ โดยเฉพาะการรวมกลุ่มกันเพื่อเล่นเกม นอนดึก และ ดื่มน้ำกระท่อม ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นในชุมชน
" เราไปถามเขาจะบอกเห็นเพื่อนสูบ เพื่อนมีพี่ชายใช้ เลยลองสูบกับเพื่อน แต่จริงๆก็เริ่มจากการเล่นเกมก่อน รวมกลุ่ม นอนดึก ดื่มน้ำกระท่อม แล้วพอมีบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาก็ หารเงินกันค่ะ ออกเงินกันไปซื้อ ก็คือฝากรุ่นพี่ที่เรียนโรงเรียนในเมืองซื้อมาให้ แล้วก็มาลองกัน "
นอกจากนี้ ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่หันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้มีแค่เด็กผู้ชายเท่านั้น แต่ยังรวมถึง กลุ่มผู้หญิง ที่เริ่มทดลองใช้ด้วยเช่นกัน
คุณทิพวรรณ สราญรมย์ กลุ่มเยาวชนโคกกอกก้าวไกลร่วมใจพัฒนา หรือ Go Forward Unite Develop (GFUD)
ทางออกใหม่: “คลินิกเพื่อนช่วยเพื่อน” แทนการลงโทษ
เมื่อเห็นถึงความล้มเหลวของการใช้อำนาจและบทลงโทษแบบเดิมในการรับมือกับพฤติกรรมเสี่ยง เครือข่ายจึงออกแบบกระบวนการใหม่ที่เน้นการสร้าง "ภูมิคุ้มกัน" ภายในตัวเด็กเอง คุณทิพเปิดเผยว่า ทีมงานใช้แนวทาง "การออกแบบร่วมกัน" โดยไม่ได้มาจากคนข้างนอก แต่ใช้ข้อมูลจากแบบสอบถามที่เด็กๆ สะท้อนกลับมาว่าพวกเขาต้องการกิจกรรมทางเลือกอะไรบ้าง (เช่น การเล่นกีฬา หรือกิจกรรมที่สร้างสรรค์อื่น ๆ)
สิ่งนี้นำไปสู่การเกิดกลไกที่เรียกว่า "คลินิกเพื่อนช่วยเพื่อน" ในโรงเรียน
" เราก็เอาข้อมูลเหล่านี้มารวบรวมแล้วก็ไปทดลองทำในสถานศึกษา ก็คือออกมาเป็นรูปแบบการทำกิจกรรมแบบนั่งคุยกันค่ะ ทุกเย็นวันศุกร์ น้องเขาจะทำเป็นเหมือนคลินิก เป็นแบบ คลินิกเพื่อนช่วยเพื่อน ที่เปิดให้คนมานั่งคุยกัน "
หลักการทำงานของคลินิกนี้คือ 1) มี "กล่องรับปัญหา" ตั้งไว้ในแต่ละห้องเรียนตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ใครมีปัญหาหรือความกังวลอะไรก็สามารถหย่อนลงกล่องได้ (โดยไม่ระบุชื่อ) 2) เมื่อถึงวันศุกร์ คำถามจะถูกนำมาเปิดในวงชมรมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน 3) ทุกคน รวมถึงคุณครูและพี่เลี้ยง จะได้แชร์กันว่า " ถ้าเพื่อนมีปัญหานี้ เราอยากบอกเพื่อนว่าอะไร "
กระบวนการที่เน้นความเข้าใจและการให้โอกาสนี้ คุณทิพย์เล่าด้วยสีหน้าภาคภูมิว่า มันแสดงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมาก
" มีน้อง ม.1 เทอม 2 เขาหายไปค่ะ เกิดจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่ครูจับได้แล้วก็ลงโทษ แต่เพื่อนในห้องเขาคิดถึง ก็เลยเขียนข้อความหย่อนในกล่อง ว่าอยากให้เพื่อนกลับมาเรียน "
เมื่อโรงเรียนทราบเรื่อง ครูได้เปลี่ยนวิธีการรับมือจากการลงโทษเป็นการเรียกมาคุยกับผู้ปกครอง และหาทางออกร่วมกัน ซึ่งส่งผลให้น้องคนดังกล่าวได้กลับมาเรียนต่อในชั้น ม.2 และเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น คุณทิพย์ย้ำว่า “ นี่คือความสำเร็จของการดึงเด็กกลับเข้าสู่วงโคจรของการศึกษาด้วยความเข้าใจ แทนที่จะผลักไสพวกเขาออกไป ”
ติดอาวุธยุคใหม่: AI และ Mindset ในการขับเคลื่อน
ปัจจุบันโครงการกำลังก้าวสู่ระยะที่สอง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของแกนนำเยาวชนใน 4 พื้นที่หลัก เพื่อให้พวกเขาสามารถขยายผลการทำงานนี้ไปยังโรงเรียนและชุมชนอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเวทีพัฒนาศักยภาพแกนนำเด็กเยาวชนที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28-30 พ.ย. 68 ก็เน้นไปที่การให้ "เครื่องมือ" ที่ทันสมัยแก่เยาวชนเพื่อใช้สื่อสารการทำงาน
" อย่าง AI อย่างงี้ค่ะ ก็ถือว่าเด็ก ๆ ทุกคนใช้อยู่แล้ว นำมาช่วยทั้งการเรียน การทำงาน อย่างงี้ค่ะ เราก็เลยมองว่า เรื่องนี้ก็สำคัญ รวมถึงวิธีคิดอะไรบางอย่างที่แบบอาจจะเป็นเรื่อง Mindset ในการทำงาน "
คุณทิพย์มองว่า การให้ความรู้เชิงสั่งสอนว่าอะไรดีไม่ดีนั้นยากที่จะเปลี่ยนพฤติกรรม แต่การให้เครื่องมือที่ทำให้เด็กได้คิดเอง ได้เข้าใจเอง และเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นทาง จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนกว่า
" ถ้าเราไปให้ความรู้เขา ไปบอกว่าอันนี้ดีไม่ดี มันเปลี่ยนยาก แต่ถ้าเราไปชวนให้เขาคิดได้ตั้งแต่ต้น มันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง "
เติมเต็ม "ช่องว่าง" ที่กลไกของรัฐเข้าไม่ถึง
ในการทำงานประเด็นที่อ่อนไหวนี้ คนทำงานภาคประชาสังคมก็ยอมรับว่า พวกเขาถือเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่กล้าหยิบยกประเด็นบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นมาพูดคุยในพื้นที่สาธารณะ และนำไปสู่การยื่นหนังสือเรียกร้องต่อรัฐบาล คุณทิพย์กล่าวถึงความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐว่า งานของเครือข่ายนี้ทำหน้าที่เป็นตัว "เติมเต็มช่องว่าง" (Gap) ในการทำงานของกลไกภาครัฐ
" ปัญหาที่เห็นในพื้นที่คือ ชุมชนมีโครงสร้างการทำงานกับเด็กเยาวชนอยู่แล้ว แต่มันเหมือนเป็นโครงสร้างเฉย ๆ แบบเด็กมันไม่ได้ทำงานจริง ๆ เจ้าหน้าที่เป็นคนเขียนแผนงานทำโครงการ แล้วก็แบบถ่ายรูปจบ "
เครือข่ายจึงเข้าไปเติมเต็มในส่วนที่ขาดหาย โดยการค้นหาและพัฒนาแกนนำเยาวชนที่มีศักยภาพจริง ๆ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐสามารถสนับสนุนได้อย่างถูกจุด และเปิดโอกาสให้เขามีส่วนร่วมในการทำงานเพื่อชุมชน
" เหมือนเขา มี Gap มีช่องว่าง เราก็เข้าไปเติมตรงเนี้ยค่ะ เราก็ได้ผลักดันเด็ก เขาก็ได้หนุนเสริมด้วย ต่างคนก็ต่างได้อย่างเงี้ยค่ะ "
ความสำเร็จที่เกิดขึ้น เช่น การที่เยาวชนแกนนำหลักจากโรงเรียนนาผือโคกกอก ได้รับการผลักดันจนไปเป็นประธานสภาเด็กของตำบล และก้าวหน้าไปถึงการเป็น กรรมาธิการศึกษาในมหาวิทยาลัย ที่ต้องนำเสนอแผนงานโครงการพัฒนาด้วยตนเอง เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า หากมีการสนับสนุนที่แท้จริง เยาวชนสามารถเติบโตและเป็นพลังขับเคลื่อนงานในระดับนโยบายได้
ความหวังในการขับเคลื่อนอย่างยั่งยืน
คุณทิพปิดท้ายด้วยความหวังว่า การทำงานที่ได้มอบ "โอกาส" และ "เครื่องมือ" ให้กับเด็ก ๆ จะช่วยให้พวกเขาเติบโตในเส้นทางที่สร้างสรรค์และมีความสุขต่อไป
" เราหวังแค่ให้เขาเติบโตไปในเส้นทางที่เขามีความสุข และเป็นนักกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ก็ยังอยากเห็นภาพแบบนี้ที่เขายังหนุนเสริมช่วยกัน มีกลุ่มไลน์คุยกัน เป็นพื้นที่ปลอดภัยสื่อสารกันได้ทุกเรื่อง "
เธอยกตัวอย่างพลังของเครือข่ายที่เข้มแข็งว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ สมาชิกในกลุ่มไลน์ของเยาวชนสามารถระดมความคิดเห็นก่อการบางอย่าง และทำโปสเตอร์ขอความช่วยเหลือโดยเปิดรับบริจาคได้ภายในคืนเดียว
นี่คือภาพสะท้อนของการเติบโตที่เด็กๆ กล่อมเกลาตัวเอง และช่วยเหลือสังคมอย่างแท้จริง และเป็นก้าวสำคัญในการรับมือกับปัญหาสังคมด้านต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า